Total Pageviews

Sunday, October 5, 2014

ตอนที่ 4 : รู้จัก ICF Model และตัวอย่างการนำไปใช้ทางกายภาพบำบัด



ตอนที่ 4 : รู้จัก ICF Model และตัวอย่างการนำไปใช้ทางกายภาพบำบัด



ICF model คืออะไร?


http://www.who.int/violence_injury_prevention/surveillance/classification/en/icf.gif
     ICF ย่อมาจาก The International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) ถูกสร้างขึ้นโดย WHO หรือองการอนามัยโลก เพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับ การทำงานร่างกาย (functioning) และ ความผิดปกติของร่างกาย (disability) ในเดือนพฤษภาคม 2001 และปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์คนไข้ ร่วมทั้งในกายภาพบำบัดด้วย เนื่องจากเป็นแบบแผนการมองคนไข้ในหลากหลายมิติ สามารถวิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ได้อย่างครอบคลุม

องค์ประกอบของ ICF model


http://www.globalizationandhealth.com/content/figures/1744-8603-7-41-2-l.jpg
จากแผนภาพจะเห็นว่ามีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนไข้หนึ่งคน เข้าด้วยกัน
     - ปัญหาของการทำงาน และ โครงสร้างของร่างกาย
     - ปัญหาการทำกิจวัตรประจำวัน และการเข้าสังคม
     - ปัจจัยที่มีผลต่อปัญหาเหล่านั้น
โดยการเชื่อมโยงเหล่านี้จะทำให้สามารถมองคนไข้ในวงกว้างมากขึ้น และพบปัญหาที่แท้จริงของคนไข้

 http://powermobilityalberta.files.wordpress.com/2012/02/slide1.jpg

     Body function :: การทำงานของกล้ามเนื้อ เช่น ยกแขน กำมือ ก้าวขา เป็นต้น
     Body structures :: พูดถึงกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อหัวไหล่ กล้ามเนื้อต้นขา เป็นต้น
     Impairments :: ปัญหาเกี่ยวกับการทำงาน และโครงสร้างของร่างกาย เช่น ยกแขนไม่ได้ กำมือไม่ได้ กล้ามเนื้อหัวไหล่ตึงรั้ง เป็นต้น
     Activity :: กิจวัตรประจำวัน เช่น การขับรถ การซักผ้า เป็นต้น
     Participation :: การมีส่วนร่วมในสังคม เช่น การเข้าวัด เป็นต้น
     Activity limitation :: การจำกัดการทำกิจวัตประจำวัน
     Participation restriction :: ปัญหาการเข้าสังคม
     Environmental factors :: ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ญาติพี่น้อง สภาพบ้าน เป็นต้น
       Personal factors :: ปัจจัยในตัวเอง เช่น โรคประจำตัว สภาวะอารมณ์ อาชีพ เป็นต้น


ตัวอย่างการใช้ ICF model



http://www.ijtmb.org/index.php/ijtmb/article/viewFile/109/143/926

และการวางแผนการจัดการทางกายภาพบำบัด

     หวังว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อนๆ เข้าใจ ICF Model มากขึ้นนะครับ สำหรับตอนที่ 4 ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามครับ สำหรับข้อเสนอแนะ หรืออยากให้ปรับปรุง หรือแนะนำหัวข้อไหนสามารถติดต่อมาได้เลยครับ 

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ICF Model : http://www.who.int/classifications/icf/en/
Reference :: Introduction to the International Classification of
Functioning, Disability and Health (ICF) - The collaborating centre for the WHO Family of International Classifications in Australia

Saturday, October 4, 2014

ตอนที่ 3 เมื่อไหร่ที่นักกายภาพบำบัดควรตรวจประเมินคนไข้



ตอนที่ 3 เมื่อไหร่ที่นักกายภาพบำบัดควรตรวจประเมินคนไข้ ?



    สวัสดีครับหลังจากได้ทราบหลักการคร่าวๆ ในการตรวจประเมินอาการทางกายภาพบำบัดไปแล้ว ต่อมาในตอนที่ 3 นี้นายชาลีขอพูดถึงการตรวจประเมินคนไข้บ้างว่า เมื่อไหร่ที่เราจำเป็นต้องตรวจประเมินคนไข้

http://www.shouldercommunity.com/wp-content/uploads/2011/07/PT-with-older-man-Ax-bilateral-abduction-369x243.jpg


1. ครั้งแรกที่นักกายภาพบำบัดพบกับคนไข้
      ใช่ครับ ในครั้งแรกที่เราเจอคนไข้หากเราไม่แม้แต่จะพูดกับคนไข้เลยคงจะไม่ได้ การสอบถามประวัติ อาการแสดง ระยะเวลาที่เกิดอาการ และอื่นๆ ทำให้เราสามารถวินิจฉัย และวางแผนการรักษาความผิดปกติเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถตั้งเป้าหมายร่วมกับคนไข้ได้อีกด้วย
2. ระหว่างการทำการรักษา
      การตรวจประเมินความเหมาะสมระหว่างการรักษาก็สำคัญ เนื่องจากเราจำเป็นต้องปรับการรักษาไปตามอาการของคนไข้ ดูว่าการรักษานี้ตอบสนองต่อคนไข้อย่างไร และปรับใช้ตามสภาพของคนไข้ เช่น หากคนไข้ปวดมากขึ้น นักกายภาพบำบัดจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการรักษาไปเป็นวิธีอื่น เป็นต้น
3. เมื่อต้องการติดตามผลการรักษา
      การตรวจประเมินเปรียบเทียบการรักษาระหว่างหลังการรักษา และก่อนการรักษามีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาการของโรคแต่ละโรคมีความจำเพาะ ไม่สามารถใช้การรักษาที่เหมือนกันได้ในทุกเคส หากนักกายภาพบำบัดทำการรูทีนการรักษา อาจทำให้ได้ผลการรักษาที่ไม่ตรงจุด และส่งผลเสียต่อคนไข้ได้อีกด้วย
4. เมื่อทำการเปลี่ยนแผนการรักษา
      เช่นเดียวกับข้อ 2 หากเราทำการเปลี่ยนแผนการรักษาก็ควรตรวจประเมินการตอบสนองของคนไข้ซ้ำไปด้วย เพื่อดูว่าการรักษาใหม่นั้นเหมาะสมกับอาการของคนไข้หรือเปล่า

รูปแบบการตรวจประเมินที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกคนไข้ (LLTRA)
ฟัง (Listen) ฟังประวัติปัจุบัน และประวัติในอดีต
ดู (Look) ตรวจประเมินสภาพร่างกายก่อนทำการรักษา
ทดสอบ (Test) ลงมือตรวจโครงสร้างที่คาดว่าจะมีพยาธิสภาพ
บักทึก (Record) บันทึกผลการตรวจ และวางแผนการรักษา
ตรวจประเมิน (Assess) ทำการตรวจประเมินอาการของคนไข้ว่ามีการตอบสนองต่อการรักษาอย่างไรบ้าง

http://mysportsrehab.com/wp-content/uploads/2012/11/pt.png

หากเราเป็นนักกายภาพบำบัดที่ดี การตรวจประเมินคนไข้เป็นประจำไม่เพียงส่งผลดีต่อตัวคนไข้เท่านั้น ยังผลให้นักกายภาพบำบัดมีความคิดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่ตีกรอบการวางแผนการรักษาของตนเอง สำหรับตอนที่ 3 ขอจบเพียงเท่านี้ครับ


Reference : Tidy's physiotherapy - Lynn Gaskell

ตอนที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างความสมดุลของกล้ามเนื้อ กับการทำงาน และการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ





ตอนที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างความสมดุลของกล้ามเนื้อ กับการทำงาน และการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ



     ความสมดุลของกล้ามเนื้อ (muscle balance) สามารถดูได้จาก ความยาวของกล้ามเนื้อ (muscle length) หรือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ( muscle strength ) agonist และ antagonist ซึ่งสองปัจจัยข้างต้นนี้เองจะเป็นตัวบอกว่ากล้ามเนื้อมีการทำงานที่ปกติหรือไม่ จนกระทั่งสามารถบอกพยาธิสภาพของกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ว่ามีความผิดปกติอย่างไร
         อาทิเช่น เมื่อกล้ามเนื้อ Hamstring มีการหดสั้น (tightness) ส่งผลทำให้ช่วงการเคลื่อนไหวของการเหยียดเข่าลดลง (limit knee extension) และยังทำให้กล้ามเนื้อ antagonist ของมัน นั่นคือ Quadricep muscles มีการทำงานลดลงอีกด้วย ทั้งนี้เป็นเพียงแค่การมองที่ภายนอกเท่านั้น (extrinsic view)
       ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ 1 หากเราวิเคราะห์ไปในกลไกภายใน การหดสั้นของ Hamstring muscle ไม่เพียงแต่ทำให้ช่วงการเคลื่อนไหวลดลงเท่านั้น ยังส่งผลต่อ กล้ามเนื้อหลังที่จะต้องคงการเดินให้เป็นปกติ โดยการเอียงตัวไปด้านที่ปกติ หรืออาจจะย่อขาข้างปกติลงมาเพื่อให้การเดินไม่ติดขัด แต่ผลสุดท้ายจากการที่กล้ามเนื้อไม่สมดุลกัน ก็จะทำให้พยาธิสภาพแพร่กระจายต่อไปเรื่อยๆ โดยมีสาเหตุมาจากจุดๆ เดียวเท่านั้น ดังแผนภาพที่จะแสดงให้ดูต่อไปนี้


การบาดเจ็บของโครงสร้าง และความเจ็บปวด

http://www.bodybuilding.com/fun/images/2010/how-anti-inflammatory-foods-helps-you-recover-faster_asm.jpg

v


กล้ามเนื้อไม่สมดุล (หดรั้ง หรืออ่อนแรง)

       https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihCSQX03kqu572yHf-rj9MTvnKnxsgxmDp53E1CKlMQeZMM2VbbKI6yeZTbKWYpQpIwjJQ1STAmWLqSX65nt5_AFHyF0yEpDvzgDhvX61VLZQIFKT0T6knbBDydh3fs8nqPsM3A4HWxi5X/s400/ptriggerpointdiagram.gif

v


ลักษณะของการเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไป

http://www.wsiat.on.ca/images/mlo/symp_leg_harrington300.jpg




        ดังนั้น นักกายภาพบำบัดไม่ควรที่จะจำกัดแผนการรักษาไว้ที่โครงสร้างใด โครงสร้างหนึ่ง และละเลยโครงสร้างโดยรอบ ควรคำนึงถึงโครงสร้างที่มีการทำงานเกี่ยวข้องร่วมด้วย เพราะบางทีเราอาจกำลังแก้ที่ปลายเหตุอยู่ก็ได้ แล้วพบกันที่ ตอนที่ 3 ครับ


Reference : Assessment and treatment of muscle imbalance : the Janda approach / Phil Page, Clare Frank, Robert Lardner.